เมื่อมีคนมาแจ้งกับย่าของฉันว่าปู่น่าจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราแอบกังวลว่าเธอจะว้าวุ่นใจและเป็นกังวล “คุณรู้สึกกังวลมั้ย” มีคนถามเธอโดยคิดว่าเธออาจจะอยากถามถึงอาการของสามี หรืออาจมีเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยอาการที่สงบว่า “ไม่เลย ฉันรู้ว่าเขากำลังจะไปไหน และพระเจ้าจะสถิตอยู่กับเขาที่นั่น”
คำพูดของเธอที่ว่าพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับสามีของเธอนั้นสะท้อนถึงสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดประพันธ์ไว้ในสดุดี 139 ที่บอกว่า “ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น” (ข้อ 8)
แม้การทรงสถิตอยู่ด้วยอย่างแน่นอนของพระเจ้าที่บรรยายไว้ในสดุดี 139 จะแฝงคำเตือนที่ว่า เราไม่สามารถรอดพ้นจากพระวิญญาณของพระองค์ได้ไม่ว่าเราจะหนีไปที่ใดก็ตาม แต่พระธรรมตอนนี้ยังนำการปลอบประโลมอย่างมากมายังผู้ที่รักพระองค์และแสวงหาความมั่นใจในการทรงสถิตของพระองค์ “ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์” (ข้อ 7) ในฐานะประชากรที่ได้รับการไถ่ของพระเจ้า เราวางใจได้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด พระองค์จะทรงอยู่ที่นั่นเพื่อนำทางเราและโอบอุ้มเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ (ข้อ 10)
เมื่อเราเดินผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากและน่าวิตก และรู้สึกว่าพระเจ้าไม่สถิตอยู่ด้วย เรามั่นใจได้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับคนที่พระองค์ทรงรักและรักพระองค์ ขอให้ความรู้ในเรื่องการทรงสถิตอันแน่นอนของพระเจ้านี้ นำการปลอบประโลมและความหวังที่คุณต้องการมาให้กับคุณในวันนี้
เธียแปลกใจมาก ทำไมลูกชายวัยสิบแปดปีของเขาจึงใช้เวลาอยู่ที่ห้องสมุดมากนักในระยะนี้ ลูกชายของเขาเป็นออทิสติกและไม่ค่อยจะคุยกับใคร ตามปกติแล้วเขาจะกลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียน เกิดอะไรขึ้น ในที่สุดเมื่อถูกคาดคั้นลูกของเธียก็ตอบว่า “อ่านหนังสือกับนาวิน”
ปรากฏว่านาวินเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่สังเกตเห็นว่าลูกชายของเธียมีปัญหาในการเรียน จึงชวนเขามาอ่านหนังสือด้วยกัน มิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสิบแปดปีนี้ทำให้พ่อผู้สิ้นหวังที่จะให้ลูกชายได้มีเพื่อนมีกำลังใจขึ้นอย่างมาก
ความหวังกลับคืนมาใหม่เพราะมีคนคนหนึ่งใส่ใจมากพอที่จะอยู่เคียงข้างคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ในพันธกิจของเปาโลกับคริสตจักรยุคแรก ท่านรู้ว่าสิ่งนี้นำมาใช้กับความหวังในความรอดของเราได้ด้วย การที่ผู้เชื่อในพระเยซูจะ “เฝ้าระวังและไม่เมามาย” (1 ธส.5:6) ในการดำเนินชีวิตด้วยความหวังถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ ด้วยการที่พวกเขาต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (ข้อ 11) โดยเฉพาะผู้ที่กำลังต่อสู้
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าผู้เชื่อเหล่านี้จะดำเนินชีวิตด้วยความรักที่พระเจ้าพอพระทัย (4:1, 10) เปาโลก็ยังได้เตือนใจพวกเขาให้ “หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่
อ่อนกำลัง” (5:14) เมื่อเราสังเกตเห็นผู้เชื่อในพระคริสต์ที่หวาดกลัว วิตกกังวล หรือสิ้นหวัง และเราอยู่เคียงข้างพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยการฟัง การพูดปลอบ
โยนหรือการนั่งเงียบๆด้วยกัน พระเจ้าทรงสามารถใช้เราได้เพื่อทำให้พวกเขาเข้มแข็งและกล้าหาญที่จะยึดมั่นในความหวังที่มีในพระเยซู
สายตาของจูนจ้องมองไปที่รถสีเทาข้างๆเธอ เธอต้องเปลี่ยนเลนเพื่อออกจากทางหลวง แต่ทุกครั้งที่เธอพยายามจะแซง คนขับรถอีกคันนั้นก็ดูเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้นด้วย ในที่สุดเธอก็สามารถปาดขึ้นหน้าได้ ด้วยความภูมิใจในชัยชนะ จูนส่องกระจกมองหลังแล้วยิ้มเยาะ ในเวลานั้นเองเธอสังเกตเห็นทางออกที่เป็นเป้าหมายของเธอเลยผ่านไป
เธอยิ้มแหยๆ และเล่าว่า “ฉันมัวแต่จดจ่อที่จะแซงจนขับเลยทางออก”
ความเผลอไผลเช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้ในยามที่เราปรารถนาจะเดินในทางของพระเจ้า เมื่อพวกผู้นำศาสนาข่มเหงพระเยซูที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติของพวกยิว (ยน.5:16) พระองค์ทรงเตือนว่าพวกเขาจดจ่อกับการศึกษาและบังคับใช้ธรรมบัญญัติมากจนลืมคิดถึงบุคคลที่ธรรมบัญญัติบ่งชี้ถึง “พระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต” (ข้อ 39-40)
ในความพยายามจะเป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า พวกผู้นำศาสนาให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพวกยิวและตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนก็ทำด้วย ในทำนองเดียวกัน เราอาจปฏิบัติสิ่งดีด้วยความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า เช่น เข้าร่วมนมัสการที่คริสตจักร ศึกษาพระคัมภีร์ ทำการกุศล และแม้แต่ชวนผู้อื่นมาร่วมกับเรา แต่เราอาจมุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านั้นจนลืมผู้ที่ทรงเป็นเหตุผลของการกระทำทั้งสิ้นของเรา นั่นคือ พระเยซู
ในการกระทำทุกอย่างของเรา ให้เราทูลขอพระเจ้าช่วยเราจดจ่อที่พระคริสต์ (ฮบ.12:2) พระองค์เท่านั้นทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยน. 14:6)
เพื่อเป็นการลดขยะอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ในสิงคโปร์จึงนำผักและผลไม้ที่มีตำหนิเล็กน้อยมาขายลดราคา ภายในหนึ่งปีโครงการนี้ได้ช่วยลดจำนวนผลผลิตซึ่งก่อนหน้านี้อาจถูกทิ้งเนื่องจากไม่ได้มาตรฐานด้านความสวยงามไปได้กว่า 850 ตัน (778,000 กิโลกรัม) ผู้ซื้อได้เรียนรู้ในไม่ช้าว่ารูปลักษณ์ภายนอก เช่น รอยตำหนิและรูปทรงที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ได้มีผลต่อรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ สิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ได้กำหนดสิ่งที่อยู่ภายในเสมอไป
ผู้เผยพระวจนะซามูเอลเรียนรู้บทเรียนที่คล้ายกันนี้เมื่อพระเจ้าทรงส่งท่านไปเจิมกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล (1 ซมอ.16:1) เมื่อท่านเห็นเอลีอับบุตรชายหัวปีของเจสซี ซามูเอลคิดว่าเขาคือผู้ที่ถูกเลือก แต่พระเจ้าตรัสว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา...มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” (ข้อ 7) จากบุตรชายแปดคนของเจสซี พระเจ้าทรงเลือกดาวิด บุตรคนเล็กซึ่งดูแลแกะของบิดา (ข้อ 11) ให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป
พระเจ้าทรงห่วงใยจิตใจของเรามากกว่าสิ่งภายนอกที่คนให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่เราจบมา รายได้ หรือจำนวนกิจกรรมจิตอาสาที่เราทำ พระเยซูทรงสั่งสอนสาวกของพระองค์ให้มุ่งความสนใจไปที่การชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากความเห็นแก่ตัวและความคิดชั่วร้ายต่างๆ เพราะ “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” (มก.7:20) เช่นเดียวกับที่ซามูเอลเรียนรู้ที่จะไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์ภายนอก โดยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอให้เราสำรวจจิตใจซึ่งได้แก่ความคิดและความตั้งใจของเรา ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม
ในปี 2022 กระทรวงแรงงานของประเทศสิงคโปร์ประกาศว่าแรงงานข้ามชาติที่ทำงานบ้านทุกคนต้องได้รับวันหยุดอย่างน้อยหนึ่งวันต่อเดือน ซึ่งนายจ้างไม่สามารถจ่ายเป็นเงินชดเชยแทนได้ อย่างไรก็ตาม เหล่านายจ้างมีความกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลผู้คนที่พวกเขารักในวันนั้น แม้ระบบการจัดการในงานที่เกี่ยวกับการเป็นผู้ดูแลจะสามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดหาคนมาแทน แต่การแก้ไขทัศนคติที่ไม่เห็นความจำเป็นของการหยุดพักนั้นไม่ง่ายเลย
การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจไม่ใช่เรื่องใหม่ อัครทูตเปาโลมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ทาสถูกมองว่าเป็นสมบัติของเจ้านาย กระนั้นในบรรทัดสุดท้ายของคำกำชับถึงคริสตจักร เกี่ยวกับวิธีการจัดการในครัวเรือนแบบพระคริสต์ ท่านบอกว่าเจ้านายจะต้องปฏิบัติต่อทาสของตนอย่าง “ยุติธรรม” (คส.4:1) ยังมีคำแปลอื่นที่บอกว่า “จงปฏิบัติต่อทาสของท่านอย่างถูกต้อง” (TNCV)
เช่นเดียวกับที่เปาโลบอกให้พวกทาสทำงาน “ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์” (3:23) ท่านยังเตือนพวกเจ้านายว่าพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา “ท่านก็มีนายองค์หนึ่งในสวรรค์ด้วย” (4:1) วัตถุประสงค์ของท่านคือหนุนใจผู้เชื่อชาวโคโลสีให้ดำเนินชีวิตโดยคำนึงว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจสูงสุด ในเวลาที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง คนในบ้าน หรือคนในชุมชน เราสามารถทูลขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเราปฏิบัติอย่าง “ยุติธรรมและสม่ำเสมอกัน” (ข้อ 1)
ขณะอยู่ที่สวนน้ำกับเพื่อนๆ เราพยายามฝ่าด่านลอยน้ำต่างๆที่ทำจากทุ่นเป่าลม ด่านที่ทั้งลื่นและกระเด้งกระดอนเหล่านี้แทบจะทำให้เดินตรงๆไม่ได้ ในขณะที่เราเดินโซเซข้ามทางลาด หน้าผา และสะพาน เราก็พบว่าตัวเองกำลังโอดครวญเพราะตกลงไปในน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว หลังจากผ่านมาได้ด่านหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งที่หมดเรี่ยวแรงไปแล้วก็เอนตัวพิง “ป้อม” เพื่อพักหายใจ ในทันใดนั้นมันก็เอนตามน้ำหนักของเธอ ทำให้เธอร่วงลงน้ำไป
ป้อมในสมัยพระคัมภีร์เป็นฐานที่มั่นเพื่อป้องกันและหลบภัย ต่างจากป้อมที่บอบบางในสวนน้ำ ผู้วินิจฉัย 9:50-51 บรรยายถึงการที่ประชาชนเมืองเธเบศหนีเข้าไปอยู่ใน “หอรบแห่งหนึ่ง” เพื่อซ่อนตัวจากอาบีเมเลคที่มาโจมตีเมืองของพวกเขา ในสุภาษิต 18:10 ผู้เขียนใช้ภาพของป้อมเข้มแข็งเพื่อบรรยายถึงพระลักษณะของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์
แต่บางครั้งแทนที่จะพึ่งพิงในป้อมเข้มแข็งของพระเจ้าเมื่อเราเหนื่อยล้าหรือถูกโจมตี เรากลับแสวงหาสิ่งอื่นมาเป็นที่ป้องกันภัยและแหล่งสนับสนุนของเรา ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการงาน ความสัมพันธ์ หรือความสะดวกสบายทางกาย เราก็ไม่ต่างจากเศรษฐีที่มองหาความเข้มแข็งในทรัพย์สินของตน (ข้อ 11) เช่นที่ป้อมเป่าลมไม่สามารถรับน้ำหนักเพื่อนของฉัน สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจให้ในสิ่งที่เราต้องการจริงๆได้ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นและทรงควบคุมในทุกสถานการณ์นั้น ได้ประทานการปลอบโยนและความปลอดภัยที่แท้จริงแก่เรา